งานจัดการพลังงาน กองกายภาพและสิ่งแวดล้อม
Energy management
6 เคล็ด (ไม่) ลับ ประหยัดพลังงานที่ออฟฟิศได้ด้วยตัวเอง
6 เคล็ด (ไม่) ลับ ประหยัดพลังงานที่ออฟฟิศได้ด้วยตัวเอง สวัสดีวันจันทร์ วันแรกของการเปิดของการทำงาน กระทรวงพลังงาน ขอเสนอ 6 วิธี ที่จะเป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัวที่เราสามารถทำได้แถมยังช่วยสำนักงานประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงได้ช่วยประหยัดพลังงานอย่างถูกวิธีและยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ในสำนักงานของคุณได้อีกด้วย 1. ปิดไฟทุกพักเที่ยง อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง 2. ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ 25 องศา สามารถประหยัดค่าไฟได้ถึง 10% 3. ปิดสวิทช์ไฟทุกครั้งหลังเลิกงาน 4. ถอดปลั๊กเครื่องถ่ายเอกสาร หรือปลั๊กไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในสำนักงานเมื่อเลิกใช้ 5. ใช้กระดาษรีไซเคิลปริ้นเอกสารหรือใช้กระดาษให้ครบทั้ง 2 หน้า เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 6. เดินขึ้นบันได 1 - 2 ชั้น แทนการใช้ลิฟท์โดยสาร เพราะการใช้ลิฟท์แต่ละครั้งต้องเสียค่าไฟถึง 5 - 7 บาท แน่นอนว่าการทำงานของทุกสำนักงานมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้ามากมายซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องแต่จริง ๆ แล้วเราก็สามารถประหยัดไฟได้ ตามวิธีที่แนะนำเพียงเท่านี้ก็สามารถลดค่าไฟฟ้าของสำนักงานไปได้เท่านึงเลย หากรู้แบบนี้แล้วอย่าลืมช่วยกันประหยัดไฟฟ้าในสำนักงานกันนะครับ #ประหยัดพลังงานที่ออฟฟิศได้ด้วยตัวเอง #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN ดูน้อยลง
31 มีนาคม 2564     |      525
'ค่าไฟฟ้าไทย' อยู่จุดไหนในอาเซียน
ค่าไฟฟ้าประเทศไทยอยู่จุดไหนในอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ค่อนข้างมีบทบาททางเศรษฐกิจเชิงรุกของภูมิภาค “ค่าไฟฟ้า” เป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคน โดยเฉพาะในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของวิถีชีวิตยุคดิจิทัลในปัจจุบัน แต่ละคน แต่ละบ้านต่างก็มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทใหม่ๆ หลากหลายมาให้ใช้งานกันแบบแทบตลอด 24 ชั่วโมง และอุปกรณ์เหล่านั้นล้วนต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หลายๆ ครัวเรือนจะเห็นตัวเลขค่าไฟเพิ่มขึ้น แต่หากลองคำนวณโดยเทียบกับจำนวนหน่วยในการใช้ไฟแล้ว ก็จะเห็นว่าในบางช่วงค่าไฟต่อหน่วยไม่ได้ปรับขึ้นเลย หรือในบางช่วงที่ประเทศไทยมีตัวเลขความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดพุ่งขึ้นมากเป็นพิเศษ ค่าไฟต่อหน่วยก็อาจขยับเล็กน้อยในหลักจุดทศนิยมเท่านั้น ซึ่งยังถือว่า “ตามหลัง” ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศไทยที่แนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง เมื่อดูจากสถิติรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าบางปีสูงขึ้นเกือบแตะ 10% เลยทีเดียว ปัจจุบัน เมื่อเทียบในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะในประเทศที่ค่อนข้างมีบทบาททางเศรษฐกิจเชิงรุก อัตราค่าไฟฟ้าในประเทศไทย จัดอยู่ในระดับกลางๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ หากดูรายชื่อประเทศที่มีค่าไฟต่ำกว่าไทยแล้ว จะพบว่ายังพึ่งพาถ่านหิน เป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนต่ำสุดเมื่อเทียบกับแหล่งเชื้อเพลิงประเภทอื่น ขณะที่ ภาคการผลิตพลังงานของประเทศไทยนั้น ส่งสัญญาณชัดเจนในการมุ่งสู่พลังงานสะอาด จากแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ๆ ได้แก่ พลังแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ หรือชีวมวล (ไบโอแมส) เว็บไซต์ https://www.globalpetrolprices.com ได้เผยแพร่ข้อมูลค่าไฟฟ้าของประเทศต่างๆ ณ เดือนมีนาคม 2562 โดยในส่วนของอาเซียน มาเลเซีย มีค่าไฟต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่ 1.8 บาท ตามมาด้วย เวียดนาม 2.4 บาท อินโดนีเซีย 3 บาท ประเทศไทย 3.9 บาท ฟิลิปปินส์ 5.7 บาท และสิงคโปร์ 5.7 บาท โดยเว็บไซต์นี้ระบุสถานะที่น่าสนใจของประเทศไทยด้วยว่า สามารถสร้างรายได้จากค่าไฟฟ้าควบคู่กับการคงอัตราค่าไฟฟ้าไว้ในระดับต่ำได้ ขณะที่ เวียดนามและอินโดนีเซีย ยังคงมีแหล่งถ่านหินสำรองอย่างเหลือเฟือ และใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงอันดับ 1 สำหรับการผลิตไฟฟ้า อีกทั้งเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาด้านเศรษฐกิจ มีความต้องการใช้พลังงานในระดับสูงเพื่อตอบรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยตัวเลขค่าไฟฟ้าของประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ญี่ปุ่น 8.4 ขยับเพิ่มขึ้นจาก 6.6 บาทที่เว็บไซต์ www.statista.com เคยประมาณการณ์ไว้ ออสเตรเลีย 7.5 บาท และเกาหลีใต้ 3.3 บาท โดยส่วนหนึ่งมาจากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลที่จะประคองอัตราค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือกระตุ้นการเติบโตด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลจากเว็บไซต์สตาติสตา แสดงค่าไฟที่ประเทศในกลุ่มผู้นำเศรษฐกิจทั่วโลกจัดเก็บอยู่ในปี 2561 โดยสหรัฐอเมริกา ค่าไฟต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง อยู่ที่ 3.9 บาท แต่ปีนี้ขยับมาเป็น 4.2 บาท อังกฤษ อยู่ที่ 6.6 บาท ขณะที่ มีตัวเลขล่าสุดของปีนี้ขยับขึ้นมาเป็น 7.5 บาท เว็บไซต์แห่งนี้ ระบุด้วยว่า ปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน และแม้แต่ในประเทศเดียวกัน ส่วนหนึ่งมาจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพทางภูมิศาสตร์ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ปัจจุบัน สวีเดน เป็นประเทศที่ประชาชนจ่ายค่าไฟต่ำสุดในโลกกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คือ 6 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ขณะที่ เยอรมนี กลับรั้งตำแหน่งประเทศที่มีค่าไฟแพงสุดในโลก ด้วยอัตรา 9.9 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) นอกจากนี้ เชื้อเพลิง ที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของการตั้งราค่าค่าไฟ ยกตัวอย่าง ประเทศอิตาลี ซึ่งจัดเก็บค่าไฟค่อนข้างแพง (8.1 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ประเทศนี้มีข้อจำกัดในเรื่องการตั้งโรงไฟฟ้าทางเลือกอย่างนิวเคลียร์ เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง (seismically active area) ดังนั้นหลังเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด เมื่อปี 2529 จึงมีการปิดโรงงานนิวเคลียร์ในแถบนี้ทั้งหมด ดังนั้นแหล่งเชื้อเพลิงหลักจึงมาจาก ก๊าซธรรมชาติ พลังงานหมุนเวียน ปิโตรเลียม และถ่านหิน ซึ่งแม้ว่าอิตาลี จะมีแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติใหญ่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป แต่ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของค่าไฟฟ้าแพง จากรายงานฉบับล่าสุด “Southeast Asia Energy Outlook 2019” ที่จัดทำโดยทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนแนวโน้มตลาดพลังงานโลกในช่วง 20 ปีข้างหน้า จากความต้องการใช้พลังงานที่มากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั่วโลกถึง 2 เท่าตัว ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ก็มีความท้าทายเพิ่มขึ้นสำหรับผู้จัดทำนโยบายเช่นกัน ปัจจุบัน แหล่งเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าในอาเซียน ยังใช้น้ำมันและถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งเป็นตัวก่อปัญหามลภาวะทางอากาศ อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นแนวโน้มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนขยับตัวสูงขึ้น โดยมีประมาณการณ์ว่าจะขึ้นมาครองสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของการผลิตพลังงานในภาพรวมในอีก 5 ปีข้างหน้า แหล่งพลังงานทางเลือกที่มาแรง ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ (solar PV) และไฟฟ้าพลังน้ำ (hydropower) แต่ทั้งนี้จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุน ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการสนับสนุนการใช้แหล่งพลังงานทางเลือกใหม่เหล่านี้ด้วย เมื่อพิจารณาบนฐานนโยบายพลังงานฉบับปัจจุบันของภูมิภาคนี้ จะมีความต้องการพลังงานเติบโตขึ้น 60% ภายในปี 2040 ความต้องการน้ำมันจะเพิ่มจาก 6.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นสูงกว่า 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนถ่านหิน ยังรักษาระดับเติบโตค่อนข้างคงที่ ซึ่งเชื้อเพลิง 2 แหล่งหลักนี้ เป็นตัวการสำคัญในการก่อมลพิษทางอากาศ และเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพและการเสียชีวิตจากมลภาวะ รายงานฉบับนี้ ได้เสนอแนะแนวทางสู่การสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้น และความยั่งยืน ด้วยการกระตุ้นให้มีการเพิ่มการลงทุนพลังงานแหล่งใหม่ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งทำให้เกิดได้เร็วขึ้นผ่านกลไกดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยลงทุน
31 มีนาคม 2564     |      1212
แนะวิธีติด "หลังคาโซลาร์เซลล์" ดูยังไง แบบไหนคุ้ม ?
แนะวิธีติด "หลังคาโซลาร์เซลล์" ดูยังไง แบบไหนคุ้ม ? ทันข่าวพลังงาน โซลาร์เซลล์ solarcell Highlightกระแสรักษ์โลกที่ผู้คนหันมาสนใจเรื่องพลังงานสะอาด จนหลายๆ บ้านเริ่มมีการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์กันแพร่หลายมากกว่าเมื่อก่อน แต่การติดตั้ง "หลังคาโซลาร์เซลล์" นั้น นอกจากเรื่องความปลอดภัย การใช้งานแล้ว เรื่องของความคุ้มค่าก็เป็นประเด็นสำคัญในการตัดสินใจของหลายๆ คน แต่ก่อนอื่น ทันข่าวToday อยากจะมาทบทวนเรื่องระบบโซลาร์เซลล์ กันสักนิดว่ามีกี่แบบ  3 ระบบโซลาร์เซลล์ ที่เราควรรู้จักก่อน 1. ระบบออนกริด (On-Grid System) ที่ติดตั้งร่วมกับไฟจากการไฟฟ้านั้น มีจุดประสงค์เพื่อช่วยทุ่นค่าไฟในช่วงเวลากลางวัน จึงใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เพราะนั่นก็เท่ากับกระแสไฟฟ้าที่แปลงมาจากโซลาร์เซลล์ก็คือหน่วยพลังงานสำหรับขับเคลื่อนกระแสไฟฟ้าภายในบ้านตามปกติ โดยมีอินเวอร์เตอร์ทำหน้าที่สลับระหว่างกระแสไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์กับกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้ากรณีจากโซลาร์เซลล์ไม่เพียงพอกับการใช้งาน เช่นในช่วงกลางคืน หรือกลางวันแต่พลังงานแสงไม่เพียงพอ ถือเป็นระบบที่หลายบ้านนิยมติดตั้งกัน เพราะสามารถขายคืนให้การไฟฟ้าฯ ได้ แต่ก่อนติดตั้งต้องขออนุญาตก่อนเสมอ 2. ระบบไฮบริด (Hybrid) ข้อแตกต่างระบบนี้อยู่ที่มีแบตเตอรี่มาสำรองพลังงาน สำหรับใช้งานในเวลาที่ไม่มีแสงอาทิตย์ และกรณีที่ผลิตกระแสไฟฟ้ามากพอเกินกว่าการใช้งานแล้ว ระบบจะนำกระแสไฟฟ้าชาร์ตเข้าแบตเตอรี่ เพื่อนำไปใช้งานต่อในเวลาอื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์มากเมื่อบ้านไหนที่ไฟตกบ่อยก็สามารถดึงเอาไฟฟ้าในแบตเตอรี่มาใช้งาน 3. ระบบออฟกริด (Off-Grid System) ข้อแตกต่างอยู่ตรงไม่ได้เชื่อมต่อเข้ากับระบบจำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การติดตั้งจะไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อน  เหมาะกับการใช้งานโดยตรงจากแผงสู่อุปกรณ์ไฟฟ้านั้นๆ เช่น แสงสว่าง หรือปั๊มน้ำ ในอดีตจึงเหมาะกับพื้นที่ห่างไกลที่ต้องสำรองไฟสำหรับใช้ในเวลาจำเป็น หรือสำหรับงานภายนอกบ้านที่ไม่เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าหลักภายในบ้าน ?? ก่อนติดตั้ง ต้องรู้จัก 5 อุปกรณ์หลักที่ใช้งาน  1. ตัวแผงโซลาร์เซลล์ 2. เครื่องอินเวอร์เตอร์ ที่แปลงจากกระแสไฟฟ้าตรงให้เป็นกระแสไฟฟ้าสลับสำหรับการใช้งานภายใน บ้าน 3. แบตเตอรี่ (Battery) อุปกรณ์สำหรับเก็บไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ 4. เครื่องควบคุมการชาร์จไฟ (Solar control charger) ทำหน้าที่คุมแรงดันและกระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่แบตเตอรี่ในปริมาณที่เหมาะสม  5. อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร (Over Current Protection & Accessaries) และสิ่งที่สำคัญที่ลืมไม่ได้ คือ โครงสร้างหลังคา โดยส่วนของหลังคาที่สามารถติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ได้นั้น จะต้องเป็นพื้นที่รับแดดตลอดทั้งวัน สำหรับประเทศไทยคือทางทิศใต้ ดูระนาบและองศาของการติดตั้ง ซึ่งเหมาะสมที่สุดควรเอียงทำมุมที่ 15 องศา รวมทั้งเรื่องสำคัญโครงสร้างหลังคาแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของแผงโซลาร์เซลล์ได้ทั้งระบบ ?? ติดตั้งเท่าไหร่ถึงจะคุ้มทุน ใครๆ ก็พูดว่าระยะยาวคุ้มทุน แล้วก็ขายไฟคืนให้รัฐได้ด้วย แต่อย่าลืมว่าเราต้องลงทุนก่อนเป็นสิ่งแรก ซึ่งเราก็ควรนึกถึงการใช้ไฟฟ้าในบ้านของเราก่อนว่าควรติดตั้งเท่าไหร่ดีจึงจะพอดีกับการใช้งานในครัวเรือน มาเริ่มต้นคำนวณค่าไฟกันก่อน ทางนี้  1. คำนวณจากหน่วยไฟฟ้าเป็น "กิโลวัตต์"  ซึ่งขนาดแผงโซลาร์เซลล์ สมมติว่า "1 แผง มีขนาดเท่ากับ 120*60 เซนติเมตร มีพื้นที่เท่ากับ 0.72 ตร.ม. มีกำลังผลิตแผงละ 102 วัตต์" ดังนั้นหากต้องการผลิตให้ได้ 1 กิโลวัตต์ ต้องใช้ 10 แผงในการติดตั้ง กินพื้นที่บนหลังคาเท่ากับ 7.2 ตร.ม. 2. จากนั้นมาดูปริมาณการใช้งานไฟฟ้าในแต่ละเดือนของเราว่าใช้เดือนละกี่หน่วย (KW-h) สมมติ ถ้าใช้เดือนละ 2,000 หน่วย (เสียค่าไฟฟ้าประมาณเดือน 10,000 บาท) ให้จดเลขมิเตอร์ 2 ครั้งใน 1 วัน ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 9.00 น. และเย็น 17.00 น. ทั้งหมด 4 วัน แล้วนำมาลบกันก็จะได้ค่าจำนวนหน่วยที่ใช้ในเวลากลางวัน  จากนั้นนำหน่วยทั้งหมดที่ได้มาหาร 4 ยกตัวอย่างเช่น 55+40+50+45 = 190/4 เฉลี่ยแล้วใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันประมาณ 47.5 หน่วย 3. ใน 1 วันมีแสงอาทิตย์ประมาณ 5 ชม.  เราก็ต้องนำ 47.5 หน่วย หาร 5 ได้เท่ากับ 9.5 กิโลวัตต์ ดังนั้นการติดตั้งโซลาร์เซลล์ประมาณ 10 กิโลวัตต์จึงจะเหมาะสมและคุ้มทุนที่สุด โดยจำนวนแผงที่จะติดตั้งต้องดูตามปริมาณวัตต์ต่อ 1 แผง อายุการใช้งานของระบบประมาณ 20-25 ปี ลองเคาะตัวเลขกันดู ว่าจุดคุ้มทุนเรามากน้อยแค่ไหน ข้อมูลอ้างอิง  การไฟฟ้านครหลวง  สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1129y
30 มีนาคม 2564     |      1125
ทั้งหมด 3 หน้า