งานจัดการพลังงาน กองกายภาพและสิ่งแวดล้อม
Energy management
เปิดข้อดี 'ยานยนต์ไฟฟ้า' (EV) หนึ่งทางเลือกสำหรับคนยุคใหม่
เปิดข้อดี 'ยานยนต์ไฟฟ้า' (EV) หนึ่งทางเลือกสำหรับคนยุคใหม่ โลกของพลังงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากการใช้น้ำมันก็ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มทางเลือกในการใช้พลังงาน ลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มาจากฟอสซิล และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตามแผนอนุรักษ์พลังงาน จึงได้ส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า เรามาทำความรู้จักกับ ‘ยานยนต์ยนต์ไฟฟ้า’ กัน เพื่อจะได้เข้าใจถูกว่ารถ EV นั้นเจ๋งแค่ไหน • ลดมลพิษในอากาศ เพราะรถ EV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% ไม่มีการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ไม่ทำให้เกิดควัน ไม่เกิดไอเสียและมลภาวะทางอากาศ ที่นำไปสู่ภาวะโลกร้อน ตอบโจทย์กับคนยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม • ลดค่าใช้จ่ายจากการเติมน้ำมัน เชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีราคาค่อนข้างสูงและผันผวน แต่เมื่อเทียบอัตราการใช้งานกับรถ EV นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก สำหรับรถ EV นั้นอัตราการชาร์จไฟที่ดูเหมือนจะถูกลง แต่การใช้น้ำมันกลับสูงขึ้นเรื่อย ๆ • ลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุง รถ EV มีชิ้นส่วนกลไกในการขับเคลื่อนน้อยกว่ารถน้ำมัน ทำให้ค่าซ่อมบำรุงนั้นมีราคาที่ถูกกว่า • ความเงียบของเครื่องยนต์ รถ EV ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน โดยที่ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์สันดาป ภายในจึงไม่ก่อให้เกิดการเผาไหม้ ทำให้เสียงของการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้านั้นเงียบกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลายเท่า เพราะด้วยข้อดีเหล่านี้ ในหลายๆประเทศ ก็ต่างสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นในประเทศสหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ จีน เยอรมนี หรือ อังกฤษ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำที่มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและพยายามที่จะผลักดันนโยบายให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ากลายเป็นรถยนต์แห่งอนาคตที่ทั้งโลกจะหันมาใช้ และสำหรับประเทศไทยนั้นก็มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้อยู่บ้างแล้ว เช่น การติดตั้งจุดชาร์จไฟสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า การออกนโยบายและมาตรการเพื่ิอเอื้อให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามายิ่งขึ้น เป็นต้น #ยานยนต์ไฟฟ้า #EV #ประหยัดพลังงาน #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN
3 พฤษภาคม 2564     |      886
Work From Home "ประหยัดพลังงาน “ วิธีใดที่ใช่คุณ ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย หลายๆท่านต้องกลับมา Work from home กันอีกครั้ง
????Work From Home "ประหยัดพลังงาน “ วิธีใดที่ใช่คุณ ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย หลายๆท่านต้องกลับมา Work from home กันอีกครั้ง วันนี้ กระทรวงพลังงาน จึงอยากเชิญทุกท่านร่วมสนุก ด้วยการแสดงความรู้สึก (Reaction) ผ่าน Game on Facebook ของกระทรวงพลังงาน Work From Home “ ประหยัดพลังงาน “ วิธีใดที่ใช่คุณ ด้วยการแชร์โพสต์นี้เป็นสาธารณะพร้อมแบ่งปันวิธีประหยัดพลังงานเมื่อทำงานที่บ้าน Work From Home ในแบบของท่านเอง 3 ข้อ วิธีไหนโดนใจที่สุด รับไปเลย สมุดโน้ตปกหนังจากกระทรวงพลังงาน จำนวน 10 รางวัล ??กติกาการร่วมสนุก 1.กด Like Page Facebook กระทรวงพลังงาน 2.กดเลือกปุ่มแสดงความรู้สึก(Reaction) วิธีประหยัดพลังงาน ที่ท่านชอบ 3.กด Share Post Game เป็นสาธารณะ พร้อมพิมพ์ Caption วิธีการประหยัดพลังงานในขณะทำงานที่บ้านในรูปแบบของท่านมา 3 ข้อ ?? ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2564 ถึง 30 เมษายน 2564 และจะประกาศรายชื่อผู้โชคดี ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่ทางหน้าเพจ Facebook กระทรวงพลังงาน หมายเหตุ -ผู้โชคดีต้องแจ้งที่อยู่สำหรับส่งของรางวัลภายใน 7 วัน หากเกินระยะเวลากำหนด ถือว่าท่านสละสิทธิ์ และจะมอบให้รายชื่อสำรองลำดับต่อไป - คำตัดสินของผู้จัดกิจกรรมถือเป็นที่สิ้นสุด
23 เมษายน 2564     |      445
สัญลักษณ์บนรีโมทแอร์ ดูให้เป็น ได้อากาศเย็น แถมประหยัดค่าไฟ
สัญลักษณ์บนรีโมทแอร์ ดูให้เป็น ได้อากาศเย็น แถมประหยัดค่าไฟ หลายคนใช้เครื่องปรับอากาศหรือแอร์เกือบทุกวัน แต่ทุกท่านรู้ไหมว่าสัญลักษณ์บนรีโมทแอร์มีความหมายว่าอะไร วันนี้ กระทรวงพลังงาน จะมาบอกความหมายของสัญลักษณ์บนรีโมทแอร์ และทริคเล็กๆ ในการเลือก ‘โหมดที่เหมาะสมกับตนเอง’ สำหรับการใช้งานแอร์ที่เย็นฉ่ำ และประหยัดค่าไฟ เพื่อให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้อย่างถูกวิธี จะมีอะไรบ้าง มาดูกันครับ Auto Mode : โหมดนี้สำหรับท่านที่ไม่ต้องการยุ่งยากในการปรับอะไรมาก เพราะมันจะปรับอุณหภูมิและความเร็วของพัดลมโดยอัตโนมัติ และโหมด Auto นี้ มันจะสลับการทำงานไปโหมดอื่นๆ เช่น Dry หรือ Cool ให้ตามสภาพแวดล้อมในห้องเรา เหมาะสำหรับ : บ้านที่ไม่ค่อยมีใครไปยุ่งกับแอร์มากนัก กดปุ่มเปิด/ปิด อย่างเดียว ที่เหลือให้แอร์มันคิดให้ เย็นเหมือนกัน Cool Mode : โหมดนี้จะตั้งค่าได้ทั้งอุณภูมิและความเร็วของพัดลม เมื่อแอร์ทำให้ห้องมีอุณหภูมิถึงจุดที่เราตั้งไว้แล้ว แอร์จะหยุดทำงานครู่หนึ่ง (หรือที่เราเรียกกันว่าแอร์ตัด) เหมาะสำหรับ : ช่วงที่อากาศร้อน หรือตอนที่เราอยากให้ห้องมีอุณภูมิเย็นมากหรือน้อยตามใจเรา Dry Mode : โหมดนี้ทำงานคล้ายกับโหมด Cool แต่จะเพิ่มการลดความชื้นในอากาศ แต่ความเย็นจะลดลงถ้าเทียบกับโหมด Cool ในอุณหภูมิที่เท่ากัน เพราะความชื้นในอากาศนั้นหายไป เหมาะสำหรับ : ห้องที่ต้องการควบคุมความชื้น มีสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสำหรับอากาศชื้น Fan Mode : โหมดนี้จะทำงานเพียงแค่พัดลม ซึ่งเป็นลมในอุณหภูมิห้องปกติ ไม่ใช่ลมเย็น เราสามารถตั้งค่าได้เฉพาะความเร็วของพัดลมเท่านั้น เหมาะสำหรับ : ห้องที่ต้องการอากาศหมุนเวียน แต่ไม่ต้องการให้ห้องมีความเย็น หรือเมื่อแอร์มีปัญหากลิ่นอับ โหมดนี้จะช่วยลดความชื้นสะสม และลดกลิ่นอับได้ระดับหนึ่ง การเลือกใช้โหมดต่าง ๆ ให้เหมาะกับการใช้งานจะสามารถประหยัดพลังงานได้ รวมไปถึงค่าไฟในแต่ละเดือนด้วยนะครับ #สัญลักษณ์บนรีโมทแอร์ #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN
7 เมษายน 2564     |      3429
‘จัดวางเฟอร์นิเจอร์ ไม่ขวางทางลม’ เทคนิคการจัดบ้านแบบประหยัดพลังงาน
‘จัดวางเฟอร์นิเจอร์ ไม่ขวางทางลม’ เทคนิคการจัดบ้านแบบประหยัดพลังงาน เฟอร์นิเจอร์ ถือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในบ้านได้สะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโซฟา โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ชั้นวางของ หรือตู้โชว์ต่างๆ แต่รู้ไหมว่า จัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เหมาะสม นอกจากจะทำให้เราใช้งานไม่สะดวกแล้ว อาจจะทำให้เราต้องมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เช่น ค่าไฟเพิ่มมากขึ้นด้วย วันนี้ กระทรวงพลังงาน จึงมีเทคนิคการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่จะช่วยให้เราสามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น ดังนี้ • จัดวางโต๊ะทำงานใกล้หน้าต่าง เพื่อใช้แสงสว่างจากภายนอกโดยที่ไม่ต้องเปิดไฟ • ติดม่านที่ปรับระดับให้แสงเข้าได้ เพื่อไม่ให้แสงและความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านมากเกินไป • จัดวางเฟอร์นิเจอร์ โซฟา หรือตู้โชว์ ไม่ขวางทางลม • ติดเครื่องปรับอากาศที่มีจำนวน BTU เหมาะสมกับขนาดห้องและติดตั้งในจุดที่สามารถกระจายลมได้ทั่วถึง ด้วยเทคนิคที่แนะนำนี้ คุณก็จะสามารถเป็นอีกหนึ่งคนที่ช่วยประเทศชาติประหยัดพลังงาน แต่เหนือประโยชน์อื่นใดคือ คุณได้ช่วยเซฟกระเป๋าเงินตัวเองไม่ให้รั่วไหลไปกับค่าไฟในแต่ละเดือนอย่างแน่นอน #จัดวางเฟอร์นิเจอร์ไม่ขวางทางลม #เทคนิคจัดบ้านประหยัดพลังงาน #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN
5 เมษายน 2564     |      421
เลือกม่านให้เหมาะกับบ้าน ประหยัดพลังงานไปในตัว
เลือกม่านให้เหมาะกับบ้าน ประหยัดพลังงานไปในตัว การเลือกผ้าม่านที่ดีและเหมาะกับบ้านนั้น นอกจากช่วยให้บ้านของท่านดูสวยขึ้นแล้ว ยังสามารถลดการใช้พลังงานได้อีกด้วย แต่จะเลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับบ้านของเรา และม่านแบบไหนจะช่วยประหยัดพลังงาน พร้อมทั้งลดค่าไฟ ไปในตัวได้อีก วันนี้ กระทรวงพลังงาน ขอแนะนำการเลือกผ้าม่าน 4 ประเภท ดังนี้ 1. ม่านแขวน ม่านแขวนคือผ้าม่านยาว ๆ ที่แขวนตะขอหรือเจาะห่วง ห้อยไว้กับรางแขวน ม่านแขวนเป็นผ้าม่านที่เข้ากันได้ดีกับทุกสภาพอากาศ เพราะม่านประเภทนี้เปรียบเสมือนผ้าห่มช่วยกันหนาวเมื่อลมเย็น ๆ มาเยือน ในทางตรงกันข้ามยังเป็นเหมือนอุปกรณ์กันแดดชั้นดีเมื่อเข้าสู่หน้าร้อน และยังทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูอบอุ่น และสวยงามด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านเนื้อผ้าเข้ามา 2. ม่านบังแดด ม่านที่ประกอบด้วยผ้าเนื้อนิ่ม เปิด-ปิดด้วยการพับขึ้น-ลงหรือดึงเข้า-ออกทางด้านข้างก็ได้ คุณสมบัติเด่นของม่านประเภทนี้ก็คือสะท้อนความร้อนและแสงได้ดี นอกจากนี้ยังเป็นม่านที่ติดตั้งและทำความสะอาดได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยให้บรรยากาศโดยรวมดูสวยทันสมัยอีกด้วย 3. ม่านฮันนีคอมบ์ ม่านนี้มีจุดเด่นในเรื่องการช่วยประหยัดพลังงาน เพราะช่วยรักษาอุณหภูมิภายในให้อบอุ่นในช่วงหน้าหนาว และสามารถกักเก็บความเย็นได้เมื่อเข้าสู่หน้าร้อน ตัวม่านจะช่วยกรองรังสีและความร้อนให้ก่อนที่แสงจะเข้ามาในบ้าน จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับบ้านที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิในบ้านให้เหมาะสม โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยอย่างเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อน 4. มู่ลี่ มู่ลี่มีทั้งชนิดที่เป็นไม้และพลาสติก มีตั้งแบบแนวตั้งและแนวนอนเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพอากาศที่หลากหลาย แต่เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบที่เป็นฉนวน ดังนั้นจึงอาจช่วยกันได้แค่แสง แต่ไม่สามารถกันความร้อนหรือความเย็นจากภายนอกอาคารได้มากนัก หากรู้แบบนี้แล้วใครที่ไม่อยากจ่ายค่าไฟแพง ๆ ตอนสิ้นเดือน ก็ควรเลือกประเภทของม่านให้เหมาะกับบ้าน การทำให้อุณหภูมิในห้องไม่สูงเกิน ก็จะช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง และหากให้มีแสงเข้าบ้านปริมาณที่เหมาะสม ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟในช่วงกลางวัน การเลือกม่านที่เหมาะกับบ้านก็ประหยัดไฟได้ 2 ต่อเลยนะครับ #เลือกม่านให้เหมาะกับบ้าน #เทคนิคจัดบ้านประหยัดพลังงาน #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN
5 เมษายน 2564     |      832
กบง.เห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ภายใต้ทิศทางนโยบาย 5 ด้าน
กบง.เห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ภายใต้ทิศทางนโยบาย 5 ด้าน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะเรือนกระจก อุณหภูมิโลกได้สูงขึ้น ประเทศไทยจึงได้วางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดย กระทรวงพลังงาน ได้กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2580 ซึ่งที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุม ได้เห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ที่มีเป้าหมายมุ่งสู่พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2580 มีทิศทางนโยบาย (Policy Direction) 5 ด้าน ได้แก่ 1.ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน 2.ลงทุนพลังงานสีเขียว 3.ดำเนินนโยบาย 4D1E เพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคพลังงาน 4.เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน 5.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี ครอบคลุมการขับเคลื่อนพลังงานทั้งด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดได้รับการสนับสนุนด้านข้อมูลจากศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ (National Energy Information Center: NEIC) ทั้งข้อมูลเชิงนโยบาย และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านพลังงาน (Capacity Building) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในอนาคต #กบง #กรอบแผนพลังงานชาติ #NationalEnergyPlan #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN ดูน้อยลง
2 เมษายน 2564     |      521
กรมอุตุนิยมวิทยา เตือนฉบับที่ 2 ระวัง"พายุฤดูร้อน-ลูกเห็บตก-ฟ้าผ่า" 3 - 6 เม.ย.
กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศฉบับที่ 2 พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทย ระวังพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นด้วย มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 3 - 6 เมษายน 2564 วันที่ 2 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น. นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 1 เรื่อง พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทย (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 3 - 6 เมษายน 2564) ข้อความว่า ในช่วงวันที่ 3 - 6 เมษายน 2564 ประเทศไทยจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นด้วย กรมอุตุนิยมวิทยา เตือนฉบับที่ 2 ระวัง"พายุฤดูร้อน-ลูกเห็บตก-ฟ้าผ่า" 3 - 6 เม.ย. กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศฉบับที่ 2 พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทย ระวังพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นด้วย มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 3 - 6 เมษายน 2564 วันที่ 2 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น. นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 1 เรื่อง พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทย (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 3 - 6 เมษายน 2564) ข้อความว่า ในช่วงวันที่ 3 - 6 เมษายน 2564 ประเทศไทยจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นด้วย โดยจะเริ่มมีผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกก่อน ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ตอนบน จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไปจึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วยทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนเข้ามาปกคลุมบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดต่อเนื่องกันหลายวันประชาชนสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมงประกาศ ณ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 11.00 น.ที่มา : กรมอุตุนิยมวิทยาข่าวที่เกี่ยวข้องข่าวที่เกี่ยวข้อง:คุณภาพอากาศ ภาคเหนือเช้านี้ จมฝุ่น PM 2.5กรุงเทพฯค่อนข้างดีเกือบทุกพื้นที่ ค่าฝุ่น PM 2.5 เช้านี้ พบเกินค่ามาตรฐาน 25 จังหวัด ในภาคเหนือ-อีสาน-กลางสภาพอากาศวันนี้ไทยตอนบนมีอากาศร้อนและร้อนจัดบางแห่งอัพเดท 3-6 เม.ย."พายุฤดูร้อน" ไทยตอนบนรับมือฝน-ลูกเห็บตก-ฟ้าผ่ากรมอุตุนิยมวิทยา เตือนฉบับที่ 1 ระวัง"พายุฤดูร้อน" 3 - 6 เม.ย.นี้
1 เมษายน 2564     |      554
กบง. ตรึงราคา LPG ต่ออีก 3 เดือน (เมษายน - มิถุนายน 2564)
กบง. ตรึงราคา LPG ต่ออีก 3 เดือน (เมษายน - มิถุนายน 2564) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุม ได้มีมติตรึงราคา LPG โดยขยายเวลาตรึงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG ที่ 14.3758 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ออกไปอีก 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 30 มิถุนายน 2564 ส่งผลให้มีราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน #กบง #ตรึงราคาLPG #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN
1 เมษายน 2564     |      276
6 เคล็ด (ไม่) ลับ ประหยัดพลังงานที่ออฟฟิศได้ด้วยตัวเอง
6 เคล็ด (ไม่) ลับ ประหยัดพลังงานที่ออฟฟิศได้ด้วยตัวเอง สวัสดีวันจันทร์ วันแรกของการเปิดของการทำงาน กระทรวงพลังงาน ขอเสนอ 6 วิธี ที่จะเป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัวที่เราสามารถทำได้แถมยังช่วยสำนักงานประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงได้ช่วยประหยัดพลังงานอย่างถูกวิธีและยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ในสำนักงานของคุณได้อีกด้วย 1. ปิดไฟทุกพักเที่ยง อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง 2. ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ 25 องศา สามารถประหยัดค่าไฟได้ถึง 10% 3. ปิดสวิทช์ไฟทุกครั้งหลังเลิกงาน 4. ถอดปลั๊กเครื่องถ่ายเอกสาร หรือปลั๊กไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในสำนักงานเมื่อเลิกใช้ 5. ใช้กระดาษรีไซเคิลปริ้นเอกสารหรือใช้กระดาษให้ครบทั้ง 2 หน้า เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 6. เดินขึ้นบันได 1 - 2 ชั้น แทนการใช้ลิฟท์โดยสาร เพราะการใช้ลิฟท์แต่ละครั้งต้องเสียค่าไฟถึง 5 - 7 บาท แน่นอนว่าการทำงานของทุกสำนักงานมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้ามากมายซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องแต่จริง ๆ แล้วเราก็สามารถประหยัดไฟได้ ตามวิธีที่แนะนำเพียงเท่านี้ก็สามารถลดค่าไฟฟ้าของสำนักงานไปได้เท่านึงเลย หากรู้แบบนี้แล้วอย่าลืมช่วยกันประหยัดไฟฟ้าในสำนักงานกันนะครับ #ประหยัดพลังงานที่ออฟฟิศได้ด้วยตัวเอง #มีพลังงานมีความสุข #กระทรวงพลังงาน #MinistryofEnergy #MoEN ดูน้อยลง
31 มีนาคม 2564     |      645
'ค่าไฟฟ้าไทย' อยู่จุดไหนในอาเซียน
ค่าไฟฟ้าประเทศไทยอยู่จุดไหนในอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ค่อนข้างมีบทบาททางเศรษฐกิจเชิงรุกของภูมิภาค “ค่าไฟฟ้า” เป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคน โดยเฉพาะในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของวิถีชีวิตยุคดิจิทัลในปัจจุบัน แต่ละคน แต่ละบ้านต่างก็มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทใหม่ๆ หลากหลายมาให้ใช้งานกันแบบแทบตลอด 24 ชั่วโมง และอุปกรณ์เหล่านั้นล้วนต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หลายๆ ครัวเรือนจะเห็นตัวเลขค่าไฟเพิ่มขึ้น แต่หากลองคำนวณโดยเทียบกับจำนวนหน่วยในการใช้ไฟแล้ว ก็จะเห็นว่าในบางช่วงค่าไฟต่อหน่วยไม่ได้ปรับขึ้นเลย หรือในบางช่วงที่ประเทศไทยมีตัวเลขความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดพุ่งขึ้นมากเป็นพิเศษ ค่าไฟต่อหน่วยก็อาจขยับเล็กน้อยในหลักจุดทศนิยมเท่านั้น ซึ่งยังถือว่า “ตามหลัง” ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศไทยที่แนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง เมื่อดูจากสถิติรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าบางปีสูงขึ้นเกือบแตะ 10% เลยทีเดียว ปัจจุบัน เมื่อเทียบในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะในประเทศที่ค่อนข้างมีบทบาททางเศรษฐกิจเชิงรุก อัตราค่าไฟฟ้าในประเทศไทย จัดอยู่ในระดับกลางๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ หากดูรายชื่อประเทศที่มีค่าไฟต่ำกว่าไทยแล้ว จะพบว่ายังพึ่งพาถ่านหิน เป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนต่ำสุดเมื่อเทียบกับแหล่งเชื้อเพลิงประเภทอื่น ขณะที่ ภาคการผลิตพลังงานของประเทศไทยนั้น ส่งสัญญาณชัดเจนในการมุ่งสู่พลังงานสะอาด จากแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ๆ ได้แก่ พลังแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ หรือชีวมวล (ไบโอแมส) เว็บไซต์ https://www.globalpetrolprices.com ได้เผยแพร่ข้อมูลค่าไฟฟ้าของประเทศต่างๆ ณ เดือนมีนาคม 2562 โดยในส่วนของอาเซียน มาเลเซีย มีค่าไฟต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่ 1.8 บาท ตามมาด้วย เวียดนาม 2.4 บาท อินโดนีเซีย 3 บาท ประเทศไทย 3.9 บาท ฟิลิปปินส์ 5.7 บาท และสิงคโปร์ 5.7 บาท โดยเว็บไซต์นี้ระบุสถานะที่น่าสนใจของประเทศไทยด้วยว่า สามารถสร้างรายได้จากค่าไฟฟ้าควบคู่กับการคงอัตราค่าไฟฟ้าไว้ในระดับต่ำได้ ขณะที่ เวียดนามและอินโดนีเซีย ยังคงมีแหล่งถ่านหินสำรองอย่างเหลือเฟือ และใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงอันดับ 1 สำหรับการผลิตไฟฟ้า อีกทั้งเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาด้านเศรษฐกิจ มีความต้องการใช้พลังงานในระดับสูงเพื่อตอบรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยตัวเลขค่าไฟฟ้าของประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ญี่ปุ่น 8.4 ขยับเพิ่มขึ้นจาก 6.6 บาทที่เว็บไซต์ www.statista.com เคยประมาณการณ์ไว้ ออสเตรเลีย 7.5 บาท และเกาหลีใต้ 3.3 บาท โดยส่วนหนึ่งมาจากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลที่จะประคองอัตราค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือกระตุ้นการเติบโตด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลจากเว็บไซต์สตาติสตา แสดงค่าไฟที่ประเทศในกลุ่มผู้นำเศรษฐกิจทั่วโลกจัดเก็บอยู่ในปี 2561 โดยสหรัฐอเมริกา ค่าไฟต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง อยู่ที่ 3.9 บาท แต่ปีนี้ขยับมาเป็น 4.2 บาท อังกฤษ อยู่ที่ 6.6 บาท ขณะที่ มีตัวเลขล่าสุดของปีนี้ขยับขึ้นมาเป็น 7.5 บาท เว็บไซต์แห่งนี้ ระบุด้วยว่า ปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน และแม้แต่ในประเทศเดียวกัน ส่วนหนึ่งมาจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพทางภูมิศาสตร์ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ปัจจุบัน สวีเดน เป็นประเทศที่ประชาชนจ่ายค่าไฟต่ำสุดในโลกกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คือ 6 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ขณะที่ เยอรมนี กลับรั้งตำแหน่งประเทศที่มีค่าไฟแพงสุดในโลก ด้วยอัตรา 9.9 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) นอกจากนี้ เชื้อเพลิง ที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของการตั้งราค่าค่าไฟ ยกตัวอย่าง ประเทศอิตาลี ซึ่งจัดเก็บค่าไฟค่อนข้างแพง (8.1 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ประเทศนี้มีข้อจำกัดในเรื่องการตั้งโรงไฟฟ้าทางเลือกอย่างนิวเคลียร์ เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง (seismically active area) ดังนั้นหลังเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด เมื่อปี 2529 จึงมีการปิดโรงงานนิวเคลียร์ในแถบนี้ทั้งหมด ดังนั้นแหล่งเชื้อเพลิงหลักจึงมาจาก ก๊าซธรรมชาติ พลังงานหมุนเวียน ปิโตรเลียม และถ่านหิน ซึ่งแม้ว่าอิตาลี จะมีแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติใหญ่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป แต่ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของค่าไฟฟ้าแพง จากรายงานฉบับล่าสุด “Southeast Asia Energy Outlook 2019” ที่จัดทำโดยทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนแนวโน้มตลาดพลังงานโลกในช่วง 20 ปีข้างหน้า จากความต้องการใช้พลังงานที่มากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั่วโลกถึง 2 เท่าตัว ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ก็มีความท้าทายเพิ่มขึ้นสำหรับผู้จัดทำนโยบายเช่นกัน ปัจจุบัน แหล่งเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าในอาเซียน ยังใช้น้ำมันและถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งเป็นตัวก่อปัญหามลภาวะทางอากาศ อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นแนวโน้มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนขยับตัวสูงขึ้น โดยมีประมาณการณ์ว่าจะขึ้นมาครองสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของการผลิตพลังงานในภาพรวมในอีก 5 ปีข้างหน้า แหล่งพลังงานทางเลือกที่มาแรง ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ (solar PV) และไฟฟ้าพลังน้ำ (hydropower) แต่ทั้งนี้จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุน ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการสนับสนุนการใช้แหล่งพลังงานทางเลือกใหม่เหล่านี้ด้วย เมื่อพิจารณาบนฐานนโยบายพลังงานฉบับปัจจุบันของภูมิภาคนี้ จะมีความต้องการพลังงานเติบโตขึ้น 60% ภายในปี 2040 ความต้องการน้ำมันจะเพิ่มจาก 6.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นสูงกว่า 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนถ่านหิน ยังรักษาระดับเติบโตค่อนข้างคงที่ ซึ่งเชื้อเพลิง 2 แหล่งหลักนี้ เป็นตัวการสำคัญในการก่อมลพิษทางอากาศ และเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพและการเสียชีวิตจากมลภาวะ รายงานฉบับนี้ ได้เสนอแนะแนวทางสู่การสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้น และความยั่งยืน ด้วยการกระตุ้นให้มีการเพิ่มการลงทุนพลังงานแหล่งใหม่ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งทำให้เกิดได้เร็วขึ้นผ่านกลไกดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยลงทุน
31 มีนาคม 2564     |      1296
แนะวิธีติด "หลังคาโซลาร์เซลล์" ดูยังไง แบบไหนคุ้ม ?
แนะวิธีติด "หลังคาโซลาร์เซลล์" ดูยังไง แบบไหนคุ้ม ? ทันข่าวพลังงาน โซลาร์เซลล์ solarcell Highlightกระแสรักษ์โลกที่ผู้คนหันมาสนใจเรื่องพลังงานสะอาด จนหลายๆ บ้านเริ่มมีการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์กันแพร่หลายมากกว่าเมื่อก่อน แต่การติดตั้ง "หลังคาโซลาร์เซลล์" นั้น นอกจากเรื่องความปลอดภัย การใช้งานแล้ว เรื่องของความคุ้มค่าก็เป็นประเด็นสำคัญในการตัดสินใจของหลายๆ คน แต่ก่อนอื่น ทันข่าวToday อยากจะมาทบทวนเรื่องระบบโซลาร์เซลล์ กันสักนิดว่ามีกี่แบบ  3 ระบบโซลาร์เซลล์ ที่เราควรรู้จักก่อน 1. ระบบออนกริด (On-Grid System) ที่ติดตั้งร่วมกับไฟจากการไฟฟ้านั้น มีจุดประสงค์เพื่อช่วยทุ่นค่าไฟในช่วงเวลากลางวัน จึงใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เพราะนั่นก็เท่ากับกระแสไฟฟ้าที่แปลงมาจากโซลาร์เซลล์ก็คือหน่วยพลังงานสำหรับขับเคลื่อนกระแสไฟฟ้าภายในบ้านตามปกติ โดยมีอินเวอร์เตอร์ทำหน้าที่สลับระหว่างกระแสไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์กับกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้ากรณีจากโซลาร์เซลล์ไม่เพียงพอกับการใช้งาน เช่นในช่วงกลางคืน หรือกลางวันแต่พลังงานแสงไม่เพียงพอ ถือเป็นระบบที่หลายบ้านนิยมติดตั้งกัน เพราะสามารถขายคืนให้การไฟฟ้าฯ ได้ แต่ก่อนติดตั้งต้องขออนุญาตก่อนเสมอ 2. ระบบไฮบริด (Hybrid) ข้อแตกต่างระบบนี้อยู่ที่มีแบตเตอรี่มาสำรองพลังงาน สำหรับใช้งานในเวลาที่ไม่มีแสงอาทิตย์ และกรณีที่ผลิตกระแสไฟฟ้ามากพอเกินกว่าการใช้งานแล้ว ระบบจะนำกระแสไฟฟ้าชาร์ตเข้าแบตเตอรี่ เพื่อนำไปใช้งานต่อในเวลาอื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์มากเมื่อบ้านไหนที่ไฟตกบ่อยก็สามารถดึงเอาไฟฟ้าในแบตเตอรี่มาใช้งาน 3. ระบบออฟกริด (Off-Grid System) ข้อแตกต่างอยู่ตรงไม่ได้เชื่อมต่อเข้ากับระบบจำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การติดตั้งจะไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อน  เหมาะกับการใช้งานโดยตรงจากแผงสู่อุปกรณ์ไฟฟ้านั้นๆ เช่น แสงสว่าง หรือปั๊มน้ำ ในอดีตจึงเหมาะกับพื้นที่ห่างไกลที่ต้องสำรองไฟสำหรับใช้ในเวลาจำเป็น หรือสำหรับงานภายนอกบ้านที่ไม่เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าหลักภายในบ้าน ?? ก่อนติดตั้ง ต้องรู้จัก 5 อุปกรณ์หลักที่ใช้งาน  1. ตัวแผงโซลาร์เซลล์ 2. เครื่องอินเวอร์เตอร์ ที่แปลงจากกระแสไฟฟ้าตรงให้เป็นกระแสไฟฟ้าสลับสำหรับการใช้งานภายใน บ้าน 3. แบตเตอรี่ (Battery) อุปกรณ์สำหรับเก็บไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ 4. เครื่องควบคุมการชาร์จไฟ (Solar control charger) ทำหน้าที่คุมแรงดันและกระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่แบตเตอรี่ในปริมาณที่เหมาะสม  5. อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร (Over Current Protection & Accessaries) และสิ่งที่สำคัญที่ลืมไม่ได้ คือ โครงสร้างหลังคา โดยส่วนของหลังคาที่สามารถติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ได้นั้น จะต้องเป็นพื้นที่รับแดดตลอดทั้งวัน สำหรับประเทศไทยคือทางทิศใต้ ดูระนาบและองศาของการติดตั้ง ซึ่งเหมาะสมที่สุดควรเอียงทำมุมที่ 15 องศา รวมทั้งเรื่องสำคัญโครงสร้างหลังคาแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของแผงโซลาร์เซลล์ได้ทั้งระบบ ?? ติดตั้งเท่าไหร่ถึงจะคุ้มทุน ใครๆ ก็พูดว่าระยะยาวคุ้มทุน แล้วก็ขายไฟคืนให้รัฐได้ด้วย แต่อย่าลืมว่าเราต้องลงทุนก่อนเป็นสิ่งแรก ซึ่งเราก็ควรนึกถึงการใช้ไฟฟ้าในบ้านของเราก่อนว่าควรติดตั้งเท่าไหร่ดีจึงจะพอดีกับการใช้งานในครัวเรือน มาเริ่มต้นคำนวณค่าไฟกันก่อน ทางนี้  1. คำนวณจากหน่วยไฟฟ้าเป็น "กิโลวัตต์"  ซึ่งขนาดแผงโซลาร์เซลล์ สมมติว่า "1 แผง มีขนาดเท่ากับ 120*60 เซนติเมตร มีพื้นที่เท่ากับ 0.72 ตร.ม. มีกำลังผลิตแผงละ 102 วัตต์" ดังนั้นหากต้องการผลิตให้ได้ 1 กิโลวัตต์ ต้องใช้ 10 แผงในการติดตั้ง กินพื้นที่บนหลังคาเท่ากับ 7.2 ตร.ม. 2. จากนั้นมาดูปริมาณการใช้งานไฟฟ้าในแต่ละเดือนของเราว่าใช้เดือนละกี่หน่วย (KW-h) สมมติ ถ้าใช้เดือนละ 2,000 หน่วย (เสียค่าไฟฟ้าประมาณเดือน 10,000 บาท) ให้จดเลขมิเตอร์ 2 ครั้งใน 1 วัน ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 9.00 น. และเย็น 17.00 น. ทั้งหมด 4 วัน แล้วนำมาลบกันก็จะได้ค่าจำนวนหน่วยที่ใช้ในเวลากลางวัน  จากนั้นนำหน่วยทั้งหมดที่ได้มาหาร 4 ยกตัวอย่างเช่น 55+40+50+45 = 190/4 เฉลี่ยแล้วใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันประมาณ 47.5 หน่วย 3. ใน 1 วันมีแสงอาทิตย์ประมาณ 5 ชม.  เราก็ต้องนำ 47.5 หน่วย หาร 5 ได้เท่ากับ 9.5 กิโลวัตต์ ดังนั้นการติดตั้งโซลาร์เซลล์ประมาณ 10 กิโลวัตต์จึงจะเหมาะสมและคุ้มทุนที่สุด โดยจำนวนแผงที่จะติดตั้งต้องดูตามปริมาณวัตต์ต่อ 1 แผง อายุการใช้งานของระบบประมาณ 20-25 ปี ลองเคาะตัวเลขกันดู ว่าจุดคุ้มทุนเรามากน้อยแค่ไหน ข้อมูลอ้างอิง  การไฟฟ้านครหลวง  สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1129y
30 มีนาคม 2564     |      1269
ทั้งหมด 6 หน้า